ประวัติจ้องแดงดอนเปา จ้องแดงโบราณแม่วางเชียงใหม่



ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา
            ร่มถือได้ว่าเป็นเครื่องใช้อีกประเภทหนึ่ง ที่คนในสมัยก่อนจนถึงปัจจุบันนำมาใช้บังแดดการทำร่มแบบโบราณ แหล่งผลิตอยู่ที่อำเภอแม่วาง จังหวัดเชียงใหม่ โดยมีพ่ออุ้ยปั๋น ศรีจันทร์เป็นผู้ผลิตร่มแบบโบราณ หรือจัดหาง รูปแบบของรุ่มจะเป็นร่มผ้าสีน้ำมัน ที่เน้นแดงเป็นหลักจุดเด่นก็จะอยู่ที่ลวดลายไหมในโครงร่ม ขณะเดียวกัน การทำร่มแบบโบราณเช่นนี้ ก็ไม่ต่างจากการทำร่มในเมืองปะเต่งของพม่า ที่เรี่ยกว่า ปะเต่งตี สินค้าเลื่องชื่อและเรียกร่มแบบโบราณที่วางขายอยู่ทั่วไปตามร้านขายของที่ระลึกในเมืองที่มีชื่อเสียงและแหล่ง่องเที่ยวของประเทศพม่าที่เมืองย่างกุ้งแต่สิ่งที่น่าห่วงก็คือ การทำร่มแบบโบราณ นับวันจะน้อยลงเพราะชาวบ้านหันไปทำอาชีพอื่น ขณะที่การทำร่มจากบรรพบุรุษที่ยาวนานนับร้อยปี เริ่มเสื่อมความนิยม ร่มกลายเป็นของที่ระลึกและตกแต่งสถานที่มากกว่าการใช้งานจริงในชีวิตประจำวัน ใช้เป็นเครื่องประดับตกแต่งบ้านของที่ระลึก เป็นสินค้าส่งออก การศึกษาเก็บข้อมูลภูมิปัญญาพื้นบ้านช่างทำร่มโบราณก็เพื่อมิให้การทำร่มเป็นเพียงตำนาน ไม่ว่าอดีตของร่มจะเป็นอย่างไร มีเส้นทางชีวิตที่ยาวนานสักเพียงไหนคงไม่สำคัญเท่าชีวิตของร่มในวันนี้เป็นอย่างไร คงอยู่ในฐานะหรือปัจจัยใดของชีวิตประจำวันของผู้คนต่อไปได้หรือไม่ ในขณะที่ร่มพลาสติกโครงเหล็ก จากโรงงานอุตสาหกรรม กำลังรุกรานกลืนกินประเพณีวัฒนธรรมและงานหัตถกรรมพื้นบ้าน ให้เหลือเพียงตำนานเล่าขานสืบไป
วัตถุประสงค์
1.เพื่อศึกษารวบรวมวิธีการผลิตชิ้นงานของช่างพื้นบ้านและการนำไปใช้ในชีวิตประจำวัน
2.เพื่ออนุรักษ์และเผยแพร่ของช่างพื้นบ้าน
ขอบเขตการจัดเก็บข้อมูล
1.ด้านพื้นที่                  ตำบลดอนเปา อำเภอแม่วาง จังหวัดเชียงใหม่
2.ด้านประเด็นปัญหา        - รูปแบบและวิธีการผลิตชิ้นงาน
                                        - วัสดุที่ใช้ในการผลิต
องค์ความรู้/ภูมิปัญญาของช่าง
            การฟื้นฟูการทำร่มโบราณหรือ จ้องหาง ของพ่ออุ้ยปั๋น ศรีจันทร์ เป็นการอนุรักษ์ภูมิปัญญาท้องถิ่นงานช่างหัตถกรรมพื้นบ้าน ศิลปะการทำร่มแบบโบราณ ซึ่งจำลองมาจาการทำร่มของประเทศพม่าที่มาตั้งถิ่นฐานในจังหวัดแม่ฮ่องสอน มีขั้นตอน วิธีการผลิต และลวดลายที่มาความเป็นเอกลักษณ์ ควรได้รับการสืบสาน และเผยแพร่ข้อมูลให้เป็นไปอย่างแพร่
ระยะเวลาในการดำเนินงาน
            ปีการศึกษา 2559 ตั้งแต่วันที่ 16 พฤษภาคม 2559 – 31 มกราคม 2560
ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ
1. ได้รวบรวมวิธีการผลิตชิ้นงานของช่างพื้นบ้านและการนำไปใช้ในชีวิตประจำวัน
2. ได้อนุรักษ์และเผยแพร่ภูมิปัญญาท้องถิ่นของช่างพื้นบ้าน
นิยามศัพท์เฉพาะ
            จ้องแดง (จ้องหาง) หมายถึง ร่มสีแดงที่ใช้ผ้าดิบคุมโครงร่างของจ้อง(ร่ม)
            ร่มโบราณ หมายถึง ร่มที่มีกรรมวิธีการผลิตโดยไม่ใช้เครื่องจักร

  
วัสดุที่ใช้ในการผลิตผลงาน

        ไม้กระท้อนหรือไม้โบกมัน หรือไม้ส้มเห็ด
        ไม้ไผ่บง สำหรับทำซี่ร่ม
        หาง (จากประเทศพม่า)
        น้ำมันดั้งฮิ้ว (จากประเทศจีน)
        สีน้ำมัน (ใช้สีแดง)
        ผ้าดิบชนิดบาง
        ใบมะพร้าวหรือใบตาล หรือใบลาน
        ไม้ซาง ทำที่ค้ำร่ม
        ไม้รวก ทำก้านร่ม
        น้ำยางบะโก๋ (ยางจากต้นตะโก)
        ข้าวเหนียวที่นวดจนเหนียวหนึด  -          ห่อผ้าขาวบาง
        น้ำบะมื้อ
        หวาย
        ลิ่ม
เครื่องมือที่ใช้ในการผลิต

        มีด ใช้หลายชนิด ดังนี้
1.1 มีดผ่า          1.2 มีดเจาะรู              1.3 มีดถาก                1.4 มีดเหลา
        เครื่องกลึง สำหรับทำหัวร่มและด้ามร่ม
        บอก สำหรับวัดความยาว
        ไม้ขอครืด  สำหรับเจาะรู ปอกผิวไม้ไผ่
        เข็ม ชนิดตรง และงอ
        เหล็กควั่น
        เลื่อยลันดา
        ค้อน
        สว่าน ชนิดตั้ง ขนาด 1-5 , ชนิดมือ ขนาด ½ แรง
         ตะปูเข็ม
        เหล็กขอ มีหลายขนาด (5 ตัว), เหล็กตัด มี 5 ตัด, เหล็กเจาะ
        มอเตอร์รุ่น 1.5
        กรรไกร
        ด้าย เบอร์ 6, 12, 20
        วงล้อรถจักรยานสำหรับทำกรอบร่ม (รอบวง)
        คันร่ม


ขั้นตอนกระบวนการผลิต / วิธีทำ

ขั้นที่ 1 ขั้นเตรียม
ทำน้ำยางบะโก๋ (ตะโก) โดยนำผลบะโก๋มาทุบ (ตำ) ให้แหลกแล้วนำมาหมัก(ผลบะโก๋ 1 ถัง : น้ำ 3 ถังในโอ่ง) หมักประมาณ 15-30 วัน หรือนานกว่านั้นจะได้น้ำยางที่เหนียวเก็บใช้นานเป็นปี สามารถนำมาใช้ได้
ส่วนน้ำบะมื้อ จะทำจากเมล็ดข้างในของผลมะมื้อ ซึ่งมีลักษณะลำต้นคล้ายต้นละมุด นำเอา
เมล็ดมาตากให้แห้ง และบดให้แตกนำไปนึ่งจากนั้นก็เอาไปหีบเอาน้ำมัน โดยใช้หวายสานเหมือนไม้หนึ่งข้าง เรียกว่า ทบเอาเมล็ดมะมื้อที่บดแล้วใส่ลงไปใน ทบแล้วเอาไม้ทับข้างบน ใช้ลิ่มตีคล้ายกลั่นน้ำมันจากเมล็ด
ตรียมไม้สำหรับใช้ทำหัวร่ม กลอนตัวค้ำ ตุ้มร่ม ซึ่งจะใช้สะท้อน (กระท้อน) ไม้ขนุน ไม้สับเห็ด ไม้โบกบัน ซึ่งถือเป็นไม้เนื้ออ่อน สำหรับนำมาเครียนและกลึงให้เรียบและได้รูปทรง
ไม้ไผ่ ได้แก่ ไม้ไผ่บง ใช้สำหรับซี่ร่มและกลอนร่ม ซึ่งก่อนจะใช้งานจะต้องนำมาแช่น้ำประมาณ ๒๐ วัน เพื่อกันมอดแล้วจึงนำมาผ่าเพื่อทำซี่ร่ม 1 คันจะทำซี่ร่มประมาณ 3133 ซี่
        ไม้ไผ่ซาง จะมีความแข็งกว่าไม้ไผ่บง จะนำมาทำค้ำยันร่มก่อนจะนำมาใช้จะแช่น้ำกันมอดประมาณ 20 วัน แล้วจึงนำมาผ่าทำที่คันร่ม
        ไม้ไผ่รวก สำหรับทำด้ามจับหรือคันร่ม โดยนำมาตากแดดให้แห้งแล้วลนไฟเพื่อดัดให้ตรงและนำมาเจาะรูรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้ายาว 4/5 ซม. กว้าง 6-9 มม. เพื่อนำเข้า ม้าแล้วจึงแช่น้ำ 7-8 ชั่วโมง
ผ้าหุ้มร่ม เป็นผ้าดิบสีขาวเวลาหุ้มจะใช้ยางตะโกเช็ดลงบนผ้าเพื่อให้ผ้าแข็งตัว
วัสดุอื่น ๆ เช่น สีทาร่มเดิมใช้หาง ซึ่งหาซื้อจากประเทศพม่า โดยพ่อครัวต่างนำมาขาย
ให้ จ๊อย ละ3000-4000 บาท (คุณภาพปานกลาง) ปัจจุบันใช้สียี่ห้อ Denco หรือ National โดยใช้สี 1 กระป๋อง (1ลิตร) ผสมน้ำบะมื้อ 1 แก้ว เติมน้ำ 1.70 ลิตร
นอกจากนี้ก็จะเตรียมขอบกระด้งขนาดตั้งแต่ 12 นิ้ว ถึง 50 นิ้ว แต่อายุการใช้งานน้อย
1 ปี ปัจจุบันจึงใช้วงเหล็กล้อรถจักรยานมาวัดขนาดสำหรับวางโครงร่ม

ขั้นที่ 2 ขั้นการผลิตการทำจ้องหอง
            ขั้นตอนการทำจ้องหางมีขั้นตอน ประมาณ 13 ขั้นตอน การจะทำจ้อง 1 คัน ถ้าทำเองทุกขั้นตอนตั้งแต่เตรียมการ เคี่ยน กลึง ฯลฯ จะใช้เวลาหลายวันอย่างน้อย 3-5 วัน เมื่อได้วัสดุครบแล้วและนำมาประกอบเป็นตัวร่มสำเร็จจะใช้เวลา 1 วัน : 3-4 คัน ดังนั้นจะต้องเตรียมอุปกรณ์ไว้แล้วและนำมาผลิตเป็นคันจ้องเลย ดังนี้
2.1 หัวร่ม  เป็นส่วนที่อยู่บนสุดของตัวร่มใช้เป็นศูนย์กลางที่ใช้ยึดและร้อยรวบของกลอนร่มเพื่อสะดวกในการหุบเข้าและกางออก





2.2 กลอนร่ม ใช้ไม้บงนำมาตัดเป็นท่อน ๆ จากนั้นก็ผ่าเป็นซี่มาเหลา ส่วนหัวจะเหลาให้แบนเพื่อจะเสียบลงในร่องหัวรมได้ กลอนร่มแต่ละอันต้องแหวกไม้ออก เพื่อให้ปลายของไม้ค้ำ (ไม้ก้ำ) ร่มมาเสียบลงเพื่อค้ำยันไว้ วัดความกว้างให้ได้ขนาดตามต้องการ หลังจากนั้นเอากลอนร่มที่ได้มาเจาะรูปให้ตรงกันมาเรียงนับจำนวนเท่าที่ต้องการต่อ ร่ม 1 คัน ร้อยด้วย ด้ายขาวที่มีความเหนียว เรียกว่า ซ้อย  นำกลอนที่ร้อยแล้วมาเข้าซี่กับหัวร่ม

2.3 ก้ำร่ม (ตัวค้ำ) ขั้นตอนนี้ทำเหมือนนำกลอนร่มแต่ขนาดจะสั้นกว่าเมื่อได้ก้ำร่มแล้วนำมา ซ้อยหรือ ร้อยก้ำ
2.4 เข้าตุ้ม คือ นำ ค้ำร่ม ที่ร้อยแล้วเสียบเข้าไปตามร่องของตุ้ม ตุ้มร่มจะมีขนาดเล็กอยู่ด้านล่างของหัวร่มใช้ยึดรวมก้ำร่มไว้ด้วยกัน เพื่อกางและหุบร่ม เมื่อตั้งกลอนและก้ำร่มเข้าซี่เรียบร้อยแล้ว ก็นำกลอนและก้ำร่มมาประกอบกัน ปลายด้านหนึ่งของก้ำร่มจะเสียบเข้าไปในกลอนร่มแต่ละซี่
2.5 ด้ามร่ม เมื่อกลอนและก้ำร่มประกอบกันและปลายของก้ำร่มเสียบเข้าในกลอนร่มแต่ละซี่แล้ว ก็นำเอาด้ามร่มมาเสียบจากดุ้มร่มผ่านขึ้นไปถึงหัวร่ม
2.6 นำโครงร่ม จากข้อ 1.5 ไปครอบวงล้อที่กำหนดไว้เพื่อจัดช่องแต่ละช่องให้มีความห่างเท่าๆ กัน
2.7 นำด้ายแดงเส้นบางมาพันไม้แต่ละซี่โดยพันโยงกันเป็นซี่ๆ ไปจนครบวงแล้วพันรอบที่ 2 โดยกะระยะให้ห่างจากรอบแรกเล็กน้อยเรียก การฝั่นไหมเพื่อใช้ยึดผ้าหุ้มร่มไม่ให้หย่อนเวลาฝนตกและเกิดความคงทน
2.8 หุ้มหัวร่ม ขั้นตอนนี้ใช้ใบมะพร้าวหรือใบลานหรือใบตาลที่นำมาตัดให้ได้ขนาดกับหัวร่ม พันรอบหัวร่มเพื่อความสวยงาม แล้วจึงนำผ้ามาหุ้มร่ม
2.9 นำเอาข้าวเหนียวที่นวดจนเหนียวและหนึดห่อผ้าบาง ๆ 1 ก้อน (ขนาดเท่าฝ่ามือ) นำไปจุ่มน้ำและทาลงบนซี่ร่มแต่ละซี่ ความเหนียวของข้าวจะช่วยให้ติดไม้ได้ดี
2.10 นำเอาน้ำยางบะโก๋มาทาซี่ร่ม เพื่อกันฝุ่นและผ้าจะติดทนดี
2.11 นำผ้ามาหุ้ม ทาน้ำมันยางมะโก๋มาทาทับบนผ้าอีกครั้ง แล้วนำไปให้ผ้าแข็งตัว นำกรรไกรมาตัดผ้าหุ้มให้พอดีกับโครงร่ม นำน้ำมันแห้งมาทาอีกครั้ง


2.12 นำหางหรือสีน้ำมัน (สีแดง) ที่ผสมแล้ว มาทาร่มจะเป็นสี ถ้าใช้หางจะออกสีดำแดงนำไปตากแดดอีกครั้งหนึ่ง






 2.13 สนร่ม ใช้ด้ายสีต่าง ๆ มาร้อยประดับเลื่อมสลับกันไปมาระหว่างรูก้ำร่มจนถึงตุ้มร่ม เพื่อช่วยอำพรางไม่ให้เห็นด้ามบนหรือด้ามร่มมากเกินไปทั้งยังช่วยเรื่องความสวยงามเพื่อความแข็งแรงในการใช้งานดังกล่าวอีกด้วย
     

ก็จะได้ร่มโบราณ หรือจ้องแดงที่สวยงาม สามารถใช้งานได้จริง และยังกันแดดกันน้ำกันฝนได้ดีอีกด้วย






ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ร่มโบราณ อำเภอแม่วาง 1 คันเราก็ส่ง